Tips&How to
ชอบกินรสชาติแบบนี้เสี่ยงเป็นโรคอะไร?
เวลาทานของที่ชอบ มักจะเจริญอาหารเสมอ แต่ก็ใช่ว่าดีต่อสุขภาพ ยิ่งถ้าชอบปรุงรสชาติจัดจ้านไปรสใดรสหนึ่ง ยิ่งต้องระวังความเสี่ยงต่อสุขภาพที่สูงขึ้น งั้นต้องมาอ่านทางนี้ว่าติดรสเค็ม เผ็ด เปรี้ยว และหวาน อาจเจอโรคอะไรได้บ้าง?
รสชาติเผ็ด
แน่นอนว่าความเผ็ดมีผลต่อการระคายเคืองกระเพาะสูงมาก จึงมีผลต่อเกี่ยวช่องท้องโดยตรง เช่น โรคระบบทางเดินอาหาร ปวดท้อง แสบท้อง โรคกระเพาะ โรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ รวมถึงโรคภูมิแพ้จมูก และโรคหัวใจได้ (จากการที่ระบบหมุนเวียนโลหิตทำงานมากขึ้น มีผลให้หัวใจทำงานหนักมากขึ้นนั่นเอง)
แต่ขณะเดียวกันถ้าทานอย่างพอดีให้มีรสชาติ และไม่ได้ทานเป็นมื้อเช้าของวัน จะช่วยระบบเผาผลาญร่างกายได้ดี และยังช่วยระบบหายใจให้หายใจโล่งขึ้นในผู้ที่ชอบคัดจมูกบ่อยๆ นอกจากนี้ยังช่วยเรื่องการป้องกันการเป็นโรคมะเร็งต่างๆ บรรเทาอาการปวด ลดการอุดตันของเส้นเลือดเพื่อการไหลเวียนโลหิตที่ดีขึ้น มีสารต้านอนุมูลอิสระ แถมความเผ็ดที่ได้จากพริกยังมีวิตามินซีอีกด้วย นอกจากนี้ช่วยลดเสี่ยงการเป็นโรคหัวใจได้ แต่ต้องทานอย่างพอดี ไม่ติดรสเผ็ดจัดเกินไป เพราะก็อาจจะเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจได้เช่นกัน
รสชาติเปรี้ยว
เมื่อเราทานของเปรี้ยวมากๆ จะทำให้กระเพาะอาหารเป็นกรดมากเกินไป จึงเสี่ยงเป็นโรคลำไส้แปรปรวน กรดไหลย้อน โรคท้องร่วง และยังเป็นผลต่อกระดูกผุ รวมถึงฟันผุ นอกจากนี้ยังมีผลต่อระบบน้ำเหลืองในร่างกาย ซึ่งอาจมีปัญหาร้อนในง่าย แผลหายช้าได้
ในทางตรงกันข้ามรสเปรี้ยวก็มีประโยชน์อยู่บ้าง อย่างการกระตุ้นการย่อยอาหาร และลดการกระหายน้ำ รวมถึงลดอาการระคายคอ หรือเจ็บคอ บรรเทาอาการหวัดได้ดี ทั้งนี้ก็ควรทานรสเปรี้ยวที่มาจากธรรมชาติ เช่น มะนาว ส้ม สับปะรด มะกรูดฯลฯ มากกว่าเปรี้ยวจากการสังเคราะห์ อย่างพวกน้ำส้มสายชูหรือมะนาวขวดที่คั้นผสมนะจ๊ะ
รสชาติเค็ม
ใครๆ ก็บอกว่ากินเค็มมากระวังเป็นโรคไต ซึ่งเป็นความจริง! แต่ไม่ได้มีผลเสี่ยงแค่โรคนี้นะ เพราะรสเค็มจัดยังมีผลต่อระบบไตและหลอดเลือด จึงอาจเสี่ยงเป็นโรคความดันสูง โรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง และเกิดภาวะตัวบวมได้
แต่ใครจะรู้ว่าการทานเค็มก็มีประโยชน์ โดยความเค็มนั้นจะช่วยรักษาความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติ ไม่มากหรือต่ำเกินไป จึงควรทานอย่างเหมาะสมคือบริโภคโซเดียมไม่เกิน 1 ช้อนชาต่อวัน
รสชาติหวาน
อย่างที่รู้กันดีว่า การทานหวานมากเสี่ยงเป็นเบาหวาน จากการที่ระดับน้ำตาลไม่สมดุล และยังเสี่ยงเป็นโรคต่างๆ ได้อีกด้วย เช่น โรคไมเกรน โรคมะเร็งบางชนิด โรคอ้วน โรคไขมันพอกตับ รวมถึงฟันผุ นอกจากนี้น้ำตาลยังมีผลต่อความสวยความงามของเราได้เช่นกัน อ่านต่อ CLICK
แต่ความหวานก็ช่วยลดความเครียดได้ จากการเข้าไปกระตุ้นการหลั่งสารแห่งความสุขในสมอง ทำให้รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น แถมยังให้พลังงานค่อนข้างสูง ซึ่งข้อนี้เป็นทั้งข้อดีข้อเสีย ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเผาผลาญได้มากขนาดไหนด้วยนะจ๊ะ
จะเห็นว่าแต่ละรสชาติก็มีทั้งข้อดี ข้อเสีย เพราะฉะนั้นถ้าเราทานอย่างพอดี ไม่ปรุงจัดจ้านจนเกินไป และหมั่นออกกำลังกาย ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ รวมถึงตรวจสุขภาพทุกปี ก็ช่วยลดเสี่ยงและป้องกันไว้ก่อนที่จะเกิดโรคร้ายกับเราได้นะจ๊ะ
Credit Source: mgronline, thaihealth, healthydee, samrong-hosp
ABOUT THE AUTHOR Beauty See First administrator