How toธุรกิจตลาดความงาม ไม่ง่ายอย่างที่คิด

ธุรกิจตลาดความงาม ไม่ง่ายอย่างที่คิด

ธุรกิจตลาดความงาม ไม่ง่ายอย่างที่คิด

ธุรกิจความสวยความงามไม่ว่าจะเป็นเครื่องสําอางหรือคลินิกก็แข่งขันกันอย่างเลือดสาดทั้งนั้นส่วนใหญ่ไปไม่รอดตั้งแต่ปีแรก เราจะมาพูดถึงความจริงของการตลาดความสวยความงามและสามกลยุทธ์ที่จะสามารถนําเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเองได้

ธุรกิจที่เกี่ยวกับความสวยความงาม กล้าพูดได้เลยว่าคนมากกว่า95%ที่ทำธุรกิจนี้เจ๋งออกมาเกือบจะแทบทั้งหมดเลยก็ว่าได้เพราะจํานวนแบรนด์ใหม่ๆที่เข้ามาให้โรงงานพวกนี้ผลิตแต่ไม่เคยเกิดหรือติดตลาดเลยมีเยอะกว่าที่คิด อย่างถ้าเป็นธุรกิจที่เกี่ยวกับความสวยความงามอย่างคลินิกอัตราแบรนด์ที่ล้มเหลวอยู่ตอนนี้มันอาจจะยังไม่มากเหมือนกับเครื่องสําอางทั่วไป เหตุผลก็เป็นเพราะว่าเจ้าของธุรกิจคลินิกเสริมความงามส่วนใหญ่มีทุนหนาพอที่จะสามารถประคองคลินิกของตัวเองไปได้ ส่วนแบรนด์เครื่องสําอางนั้นแค่เรามีเงินหลักหมื่นก็สามารถสั่งผลิตได้แล้ว ดังนั้นหลายคนที่กระโดดเข้าไปในธุรกิจนี้ส่วนใหญ่มักจะไม่มีประสบการณ์และเงินทุนที่มากพอไม่ว่าจะเป็นคลินิกหรือเครื่องสําอางเค้าก็ลําบากกันทั้งนั้นเพราะตลาดที่เกี่ยวกับความสวยความงามเนี่ยการแข่งขันมันเกินคําว่าดุเดือดไปแล้ว ถ้าเราพูดถึงอุตสาหกรรมความสวยความงามโดยรวมหลักๆแล้วมันก็จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับการบํารุงดูแลผิวเส้นผมสุขอนามัยเครื่องสําอางและน้ำหอมต่างๆ ซึ่งจากข้อมูลที่ขึ้นให้ดูจะเห็นว่าผลิตภัณฑ์ในอุตสาหกรรมนี้ 42% มันเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ดูแลผิวทั้งนั้นเลยและที่น่าตกใจไปกว่านั้นคือมากกว่า 81% เป็นผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับการดูแลผิวหน้าโดยเฉพาะเลย ซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่าการที่แบรนด์มาแข่งขันในหมวดหมู่นี้กันเกือบจะทั้งหมดมันคงไม่ง่ายแน่นอน เพราะนอกจากจะขายสินค้าที่มันใกล้เคียงกันแล้วแบรนด์ส่วนใหญ่ยังใช้ช่องทางเดียวกันเพื่อจะโปรโมทสินค้าของตัวเอง เพราะช่องทางการโปรโมทหลักที่เราเห็นทุกวันนี้ก็คงจะหนีไม่พ้นเฟชบุ๊ค ไอจี ยูทูบ หรือไม่ก็ติ๊กต๊อก ดังนั้นลองคิดดูว่าสินค้าคล้ายกันยังไม่พอโฆษณายังอยู่ใกล้ๆกันหน้าฟีดของลูกค้าด้วย ยิ่งถ้าเป็นแบรนด์ใหม่ที่คนไม่ค่อยรู้จักกันอีกลูกค้ายิ่งตัดสินใจยากไปกันใหญ่

ถ้าเราเห็นว่าคนทําผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับการบํารุงผิวหน้าเยอะแล้วเราไปทําผลิตภัณฑ์อื่นในหมวดหมู่ที่มีคู่แข่งน้อยกว่าได้มั้ยจริงจริงแล้วมันก็ทําได้ แต่เรื่องการแข่งขันมันก็โหดไม่แพ้กันครับเช่นถ้าเราไปดูอย่างน้ำหอม จะเห็นว่าสัดส่วนของผลิตภัณฑ์น้ำหอมมีแค่ราวราว 5% ของตลาดทั้งหมดซึ่งถ้าเราดูเร็วๆมันก็น่าสนใจ แต่สําหรับคนที่เคยทําการตลาดให้กับแบรนด์น้ำหอมเราจะรู้ว่ามันหินมาก เหตุผลก็เป็นเพราะว่าน้ำหอมกว่ามันจะใช้หมดมันกินเวลานานมากบางคนใช้เป็นปียังไม่หมดด้วยซ้ำเพราะฉะนั้นสินค้าแบบนี้เราจะขายเน้นจํานวนไม่ได้ เพราะว่าการซื้อซ้ำมันไม่ได้เยอะขนาดนั้น ดังนั้นถ้าเราจะทําให้แบรนด์น้ำหอมเราไปต่อได้เราก็ต้องคิดราคาที่สูงหน่อย ปัญหาก็คือว่าการที่เราจะขายสินค้าที่มีราคาสูงได้เราต้องมีแบรนด์ที่แข็งแกร่งพอสมควร

หนึ่งในวิธีนั้นก็คือเราต้องมีช่องทางการจัดจําหน่ายที่เป็นหน้าร้านที่ดี เพราะคนส่วนใหญ่ไม่ซื้อน้ำหอมจากแบรนด์ใหม่บนอินเทอร์เน็ตโดยที่ไม่ได้ลองดมก่อนอยู่แล้วและถึงแม้เราจะมีเงินอยู่ในมือไปลงทุนเปิดหน้าร้านก็ยังมีปัญหาเพิ่มเติมเข้ามาอีก เพราะว่าลูกค้าที่ซื้อน้ำหอมราคาสูงส่วนใหญ่มักจะติดแบรนด์แล้วไม่ยอมเปลี่ยนใจง่ายๆ ซึ่งแบรนด์ที่ครองใจก็เป็นแบรนด์ระดับโลกทั้งนั้นดังนั้นการทําการตลาดสําหรับแบรนด์น้ำหอม เป็นหนึ่งในสิ่งอย่างนึงในการตลาดเลยก็ว่าได้ ยิ่งถ้าเราเป็นคนตัวเล็กตัวน้อยแทบจะไม่มีโอกาสเลย แต่ถึงแม้ตลาดความสวยความงามมันจะแข่งกันดุเดือดขนาดนี้ก็ไม่ได้แปลว่าจะเป็นไปไม่ได้เลย

3 กลยุทธ์การตลาด

กลยุทธ์ที่หนึ่ง

คือเราต้องสร้างสังคมให้กับลูกค้าเราให้ได้ซึ่งคําว่าสังคมเนี่ยมันค่อนข้างกว้างเพราะกลุ่มเฟซบุ๊กที่ลูกค้าตั้งขึ้นมาเพื่อจะพูดคุยเกี่ยวกับสินค้าของเราก็ถือว่าเป็นสังคมเหมือนกัน เหตุผลที่การตลาดความสวยความงามยุคใหม่จะต้องสร้างสังคมให้กับลูกค้าก็เป็นเพราะว่าผู้บริโภคสมัยนี้เค้าเปิดใจให้กับแบรนด์ใหม่ใหม่ยากมาก เพราะฉะนั้นเกือบจะร้อยทั้งร้อยถ้าลูกค้าอยากจะซื้อของจากแบรนด์ไหนเค้าก็จะต้องเข้าไปดูรีวิวก่อน ส่วนการจ้างอินฟลูเอนเซอร์รีวิวสินค้าหลายแบรนด์ส่วนใหญ่มักจะทำกันแต่ปัญหาคือลูกค้าสมัยนี้ฉลาดลูกค้าส่วนใหญ่ดูออกว่ารีวิวไหนคนจ้างมารีวิวไหนที่คนทําขึ้นมาเองดังนั้นเราจะเห็นว่าแบรนด์ที่ยังมีกลยุทธ์จ้างรีวิวเพียงอย่างเดียวยังไม่ไปไหนสักที เหตุผลก็เป็นเพราะว่าลูกค้าสมัยใหม่เขารู้ทันหมด

ประโยชน์ในการสร้างสังคมให้กับลูกค้า

1. เราจะได้รีวิวจากคนใช้จริง

2. เราจะได้ความผูกพันระหว่างแบรนด์กับลูกค้า

การที่ลูกค้าอยู่ในสังคมของเราลูกค้าจะเห็นเราบ่อยบ่อยแต่ต้องบอกก่อนว่าการทําอะไรแบบนี้จะกลายเป็นดาบสองคมเพราะถ้าสินค้าเราดีสังคมนี้ก็จะช่วยทําให้แบรนด์เราเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น แต่ถ้าคุณภาพสินค้าไม่ดีสังคมที่เราสร้างขึ้นมาจะมาเหยียบย้ำทําให้แบรนด์ของเราไปต่อไม่ได้และอีกอย่างถ้าใครจะใช้กลยุทธ์นี้เราต้องมีฐานลูกค้าพอสมควรเพราะถ้าเรามีไม่มากพอสังคมจะไม่เกิด ถ้าสามารถนําเอากลยุทธ์นี้ไปปรับใช้ได้มั่นใจว่ามันจะเป็นประโยชน์ต่อแบรนด์ของเราแน่นอน

กลยุทธ์ที่สอง

ใช้แบรนด์เอมบาสเดอร์เพราะในสภาวะการแข่งขันปัจจุบันการจ้างอินฟลูเซอร์มารีวิวสินค้าเหมือนแต่ก่อนไม่ได้ผลเหมือนเดิม เหตุผลว่าผู้บริโภคสมัยนี้ฉลาดกว่าเดิมเยอะมาก ถ้ายิ่งเราไปดูโปรไฟล์อินฟลูเอนเซอร์ที่อยากจะจ้าง ถ้าเค้ามีรีวิวเยอะเยอะประสิทธิภาพยิ่งจะลดลงไปอีก เหตุผลก็เป็นเพราะว่าคนที่ติดตามรู้อยู่แล้วว่าเค้าถูกจ้างให้โปรโมทสินค้า ดังนั้นสมัยนี้ถ้าเราจะไปพึ่งแต่การจ้างอินฟลูเอนเซอร์มาเพื่อโปรโมทสินค้าล้าหลังไปแล้ว แต่วิธีการนึงที่มันดีกว่าการจ้างอินฟลูเอนเซอร์เนี่ยก็คือการทําให้เค้าเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์เพราะว่าการเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ไม่เหมือนกับการจ้างอินฟลูเอนเซอร์เพราะว่าการจ้างอินฟลูเอนเซอร์มาแค่รีวิวสินค้าของเราแล้วก็จบตรงนั้น แต่การที่เค้าเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของเราจะเป็นอะไรที่ระยะยาวมากกว่า แต่ข้อเสียของการจ้างคนมาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ก็คือจะมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูงมากๆ แต่กลยุทธ์นี้ยังไงก็ได้ผลมากกว่าการจ้างอินฟลูเซอร์

กลยุทธ์ที่สาม

ต้องใช้การร่วมมือแบรนด์เพื่อช่วยกันโปรโมทสินค้า ซึ่งกลยุทธ์นี้โดยเฉพาะตอนที่ยังไม่มีไลน์สินค้าที่กว้างขนาดนั้น ยิ่งจําเป็นต้องใช้ เหตุผลก็เป็นเพราะว่าตอนที่ลูกค้าซื้อของหนึ่งอย่าง เช่น ครีมบํารุงผิวหน้ามักจะไม่ได้ซื้อแค่อย่างเดียวเค้าจะซื้อสินค้าอื่นๆด้วยซึ่งการที่ไม่ได้มีไลน์สินค้ามากขนาดนั้นยังไงก็เสียลูกค้าให้กับแบรนด์อื่นอยู่แล้ว ดังนั้นแทนที่จะเสียให้เขาแบบเปล่าทําไมเราถึงไม่หาแบรนด์ใกล้เคียงมาเพื่อร่วมมือกันแล้วก็เอาสินค้าทั้งสองแบรนด์มาขายด้วยกัน ซึ่งอย่างที่บอกว่าการที่เราทําแบบนี้นอกจากเราจะได้ขายสินค้ามากขึ้นแล้วเรายังสามารถขอให้แบรนด์พาร์ทเนอร์มาช่วยกันออกค่าการตลาดได้ด้วย ซึ่งก่อนที่จะใช้กลยุทธ์นี้ก็อยากให้มั่นใจก่อนว่าแบรนด์ที่เราจะไปร่วมมือด้วยนั้นเป็นแบรนด์ที่มีคุณภาพที่ดีจริงๆ ซึ่งถ้าสามารถใช้กลยุทธ์นี้อย่างถูกวิธีแล้วค่อนข้างจะมั่นใจเลยว่ามันจะให้ประโยชน์ต่อแบรนด์มากกว่าข้อเสียแน่นอน

อย่างที่บอกไปว่าในธุรกิจที่เกี่ยวกับความสวยความงามนี้การแข่งขันดุเดือดมาก แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ไม่ได้แปลว่าเราจะไม่สามารถเข้าไปในตลาดนี้ได้ หลักๆแล้วสิ่งที่จะต้องทําก็คือเราต้องมีงบประมาณที่มากพอและอดทนทําการตลาดจนกว่าแบรนด์จะเริ่มเป็นที่รู้จักเพราะว่าการที่เราจะได้ความเชื่อใจจากลูกค้าส่วนมากต้องใช้เวลา หลายๆแบรนด์ที่เราเห็นอยู่ๆก็ดังขึ้นมาส่วนใหญ่มันเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆไม่นานก็หายไป ดังนั้นต้องศึกษาตลาดให้ดีเตรียมเงินให้มากพอและที่สําคัญก็คือต้องอดทนรอให้ได้เพราะถ้าเรารีบร้อนจนเกินไปเดี๋ยวแบรนด์มันจะพังก่อนถึงฝันได้

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here

บทความที่เกี่ยวข้อง

เนื้อหาใหม่ล่าสุด

More article