รอยสิวถึงแม้ว่าจะไม่มีผลต่อร่างกาย แต่ดันมีผลต่อจิตใจของทุกคนอย่างมากแน่นอน เพราะถือว่าเป็นหนึ่งในปัญหากวนใจที่ต้องใช้เวลาในการรักษา เพราะฉะนั้นการที่เราจะรักษาให้หายได้ ก็ต้องเริ่มจากการรู้จักรอยสิวพื้นฐานก่อนว่าเป็นรอยสิวแบบไหน จะได้เลือกวิธีรักษาได้ตรงจุดไม่เสียทั้งตังค์ทั้งเวลามากไปและยังได้ผลดีอีกด้วย
รอยสิวเกิดจากสิวที่หายแล้ว แต่ยังทิ้งซากให้เราเยียวยา
รอยสิวเป็นผลมาจากสิวอักเสบที่อุดตันใต้ชั้นผิวหายแล้ว และผิวหนังเราจะสร้างเนื้อเยื่อมาแทนที่แต่อาจสร้างมากหรือน้อยเกินไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของสิวแต่ละประเภท ถ้าเป็นสิวผด รอยก็จะแค่แดงไม่เป็นวงกว้าง แต่หากเป็นสิวอักเสบ รอยรอบๆ สิวเดิมจะเห็นชัดหรือลึกขึ้นตามระดับการอักเสบของสิว นอกจากนี้การกดสิวหรือบีบสิวเองก็เป็นสาเหตุการเกิดรอยที่กว้างขึ้นและทำให้ยิ่งรักษายากขึ้นเช่นกัน
รอยสิวสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภท ตามลักษณะของรอยสิว
รอยสิวทั่วไป หรือรอยสิวที่เกิดจากการเปลี่ยนของสีผิว แบบนี้ทางการแพทย์ไม่ได้เรียกว่าเป็นรอยสิวแต่ก็เกิดขึ้นได้บ่อยในรายที่เป็นสิว โดยสามารถสังเกตได้ง่าย ตรงที่รอยจะเรียบไปกับผิว แต่แรกๆ จะเป็นสีแดง จากนั้นค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล และจางลงในที่สุดแต่อาจใช้เวลา เพราะเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสีผิวชั่วคราว
การรักษา: รอยสิวแบบนี้สามารถใช้ยาทารอยสิวบริเวณนั้นเพื่อช่วยให้รอยจางลงได้เร็วขึ้นโดยเลือกเป็นผลิตภัณฑ์ประเภทวิตามินซี วิตามินเอ อาร์บูติน เซราไมด์ และกรดผลไม้ นอกจากนี้ควรจะเลี่ยงแสงแดดจัดและไม่ไปสัมผัสบ่อย ส่วนใครที่คิดว่ายาทารอยอาจไม่พอ สามารถใช้เลเซอร์ช่วยร่วมด้วย โดยเลเซอร์จะเข้าไปยับยั้งการผลิตเม็ดสีเมลานิน
รอยสิวนูน เกิดจากเนื้อเยื่อที่เกิดขึ้นในรอยแผลจนนูนขึ้นมาบนผิวหนังเห็นเป็นสีแดง มักจะเกิดขึ้นกับสิวที่ขึ้นบริเวณหน้าอก ใต้กราม หรือหลัง ซึ่งรอยนูนกว้างพอๆ กับตอนเป็นสิว แต่หากปล่อยไว้หรือเกิดความผิดปกติ เช่น รอยนั้นขยายกว้างขึ้นไปตามเนื้อเยื่อรอบๆ และดูหนาขึ้นกว่าตอนแรก ก็อาจนำไปสู่การเป็นแผลเป็นชนิดนูนหนาหรือที่เรียกว่า คีลอยด์ได้
การรักษา: สำหรับคนที่เพิ่งเป็นรอยแผลเป็นใหม่ๆ ให้ใช้เจลซิลิโคนประคบก็ช่วยให้ไม่ขยายวงกว้างขึ้น แต่รอยแผลเป็นนูนไม่สามารถหายได้เอง จึงแนะนำให้ปรึกษาคุณหมอผิวหนังผู้เชี่ยวชาญ เพราะวิธีการรักษาที่ได้ผล อาจต้องใช้วิธีการฉีดสเตียรอยด์บริเวณแผลเป็น และใช้เลเซอร์ในการช่วยเสริมการรักษา ซึ่งต้องทำหลายครั้งขึ้นอยู่กับความหนาของรอยแผลเป็น
รอยสิวหลุม ซึ่งแบ่งได้อีก 3 ประเภทหลุมสิวตามขนาดความลึก แต่ลักษณะอาจจะแยกได้ยากเพราะอาจจะเกิดขึ้นได้ทั้ง 3 ประเภทในคนๆ เดียวกัน
- หลุมสิวแบบคลื่น (rolling scar) วัดความกว้างได้ 4 มิลลิเมตรขึ้นไป ลักษณะจะโค้งเล็กน้อย และตื้น
- หลุมสิวแบบกล่อง (boxcar scar) วัดความกว้างได้ 3-4 มิลลิเมตร จึงเห็นขอบชัดขึ้นกว่าแบบคลื่น มีความกว้างและขนาดใหญ่
- หลุมสิวแบบจิ๊ก (icepick scar) วัดความกว้างได้น้อยกว่า 2 มิลิเมตร จึงดูแคบกว่าแบบอื่น เห็นชัด มองแล้วจะเหมือนเป็นจุดๆ ลึกลงไปในผิวหนัง
การรักษา: ด้วยความที่เป็นหลุมลึกแนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพื่อการประเมินเบื้องต้นว่าควรใช้วิธีไหนในการรักษาร่วมด้วยบ้าง เช่น การรักษาด้วยเลเซอร์เพื่อกระตุ้นเพื่อกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้น โดยไม่มีรอยแผลเป็นเพิ่ม หรือการฉีดฟีลเลอร์เพื่อเติมรอยแผลเป็นที่บุ๋มลงไปให้ดูติ้นขึ้น และการศัลยกรรมรักษาหลุมสิวในกรณีที่มีหลุมแหลมลึก แต่วิธีเหล่านี้ควรรักษาอย่างต่อเนื่อง และผลการรักษาขึ้นอยู่กับการตอบสนองในแต่ละคนอีกด้วย
Source: ladpraohospital, skin center SWU , pobpad และ rama.mahidol
Credit Photo: ragina-thailand และ demedclinic