เมื่อต้องการปรับรูปหน้า เราเชื่อว่าหนึ่งในทางเลือกอันดับต้นๆในใจของใครหลายๆคนคือการใช้วิธีการทางหัตถการ หรือเรียกง่ายๆว่าให้คุณหมอช่วย “ฉีดหน้า”ให้หน่อย แต่เชื่อได้เลยว่าพอพูดถึงเรื่องการฉีด หลายคนมักสับสนว่า Botox และ Filler ต่างกันอย่างไร? ชวนสับสันอยู่ไม่น้อย เพราะทั้งสองใช้วิธีการเดียวกัน แถมทั้งสองยังช่วยปรับรูปหน้าเหมือนกันอีกด้วย Miss Fist ของเราในวีคนี้เลยอยากจะช่วยไขข้อข้องใจ พร้อมแยกให้รู้กับแบบชัดๆถึงความต่าง! เพื่อการเลือกวิธีการรักษาและดูแลให้ตรงจุด
Filler กับ Botox คืออะไร?
Filler หรือ ฟิลเลอร์ : ไม่ใช่ชื่อยาแบบโบท็อกซ์แต่เป็นสารเติมเต็ม ซึ่งจริงๆแล้วฟิลเลอร์ถูกแบ่งออกเป็น 2 ชนิดใหญ่ๆ คือชนิดแบบถาวรและกึ่งถาวร โดยชนิดที่เราจะพูดถึงกันนี้คือชนิดแบบกึ่งถาวร เพราะเป็นชนิดที่ใช้กับร่างกายได้ และแน่นอนเป็นชนิดที่ถูกนำมาใช้เพื่อเสริมความงาม โดยจะเป็นชนิดที่เรียกว่า ไฮยาลูโรนิก แอซิก
Botox หรือ โบท็อกซ์ : เป็นชื่อย่อทางการค้าของยา โดยชื่อเต็มๆมีชื่อว่าโบทูลินั่มท็อกซินโดยเป็นโปรตีนชนิดที่ถูกสกัดมาจากแบคทีเรีย
หน้าที่หลักของ Filler และ Botox
Filler: แบบกึ่งถาวรจะเป็นการเลือกใช้ สารฮายารูโรนิก แอซิด คือ สารสกัดจากธรรมชาติที่มีอยู่แล้วในผิวของเราที่ช่วยให้ผิวของเราอิ่มฟู ดูเต่งตึงแต่เนื่องจากปัจจัยภายนอกการใช้ชีวิตบวกกับวัยที่มากขึ้น ทำให้ร่างกายของเราสามารถผลิตสารชนิดนี้ได้น้อยลงความอิ่มฟูของผิวก็ลดไปตามวัย แน่นอนว่าก็จะทำให้เกิดเป็นร่องลึก อย่างเช่น ร่องแก้ม ร่องใต้ตา ฟิลเลอร์จึงเข้ามาทำหน้าที่ในการช่วยเติมเต็มร่องเหล่านั้นให้กับมาเต็มและฟูอีกครั้ง และด้วยคุณสมบัติที่ช่วยเติมเต็มฟิลเลอร์จึงสามารถใช้เพื่อพัฒนาคุณภาพผิวอย่างการช่วยเสริมให้ผิวหน้าดูเปล่งปลั่งอิ่มน้ำ ยาวไปจนถึงการเลือกใช้ฟิลเลอร์เพื่อเสริมสันจมูก เสริมคางได้อีกด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นการใช้ในปริมาณที่แตกต่างกันออกไป รวมถึงมีการแยกย่อยความเข้มข้นของชนิดของฟิลเลอร์ในกลุ่มนี้ลงไปอีก เพื่อตอบโจทย์การใช้งานที่แตกต่าง ซึ่งไม่ต้องกังวลไปว่าเราจะต้องเลือกใช้แบบไหนดี เพราะตรงนี้คุณหมอจะช่วยวิเคาระห์ให้ได้ตามความต้องการและโครงสร้างใบหน้าของเรา
Botox: ต้องท้าวความก่อนว่าแรกเริ่มเดิมทีโบท็อกซ์ถูกใช้ทางการแพทย์เพื่อรักษาโรคกล้ามเนื้อหดเกร็ง ไปจนถึงใช้ในการรักษาอาการเหงื่ออกเยอะที่มือ เท้า หรือรักแร้ และเข้ามาสู่การใช้เพื่อความงามอโดยเป็นการช่วยลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อหน้าที่เราไม่ต้องการซึ่งเกิดจากการแสดงอารมณ์เพื่อช่วยในการริ้วรอยบริเวณหน้าผาก หางตา ยาวไปจนถึงการใช้เพื่อลดขนาดของกล้ามเนื้อกรามเพื่อช่วยให้ใบหน้าดูเรียวยาวขึ้น
ผลลัพธ์หลังทำ
Filler: เพราะเป็นการฉีดสารเติมเต็มดังนั้นจะสามารถเห็นผลลัพธ์ทันที อย่างน้อย30% หรืออาจจะมากกว่านั้นขึ้นอยู่กับบุคคล ปริมาณโครงสร้างหน้า แต่ถ้าจะให้เข้าที่เห็นชัดเจน 14 วันหลังทำน่าจะเป็นเวลาเฉลี่ยที่เห็นที่การเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างชัดเจนยิ่งขึ้น
Botox: เพราะเป็นการฉัดเพื่อลดขนาดของกล้ามเนื้อดังนั้นโบท็อกซ์จึงจำเป็นต้องใช้เวลาสักนิดดังนั้นเราไม่อาจเห็นผลแบบชัดเจนทันทีหลังทำ แต่น่าจะรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อน แต่โบท็อซ์จะสวยสุดๆต่อเมื่อทำไปแล้วประมาณ 30 วันเรียกได้ว่าช่วงเวลานี้แหละคือช่วงเวลาที่จะเห็นผลลัพธ์ที่เริ่มเข้าที่
ระยะเวลาของผลลัพธ์
Filler: จริงๆทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณ โครงสร้างใบหน้าและชนิดของฟิลเลอร์ที่คุณหมอเลือกใช้ เช่นการฉีดฟิลเลอร์เพื่อพัฒนาคุณภาพผิวอาจจะมีอายุของผลลัพธ์ที่สั้นกว่าการใช้ฟิลเลอร์ในการช่วยเติมสันจมูก นอกจากนี้การใช้ชีวิตหลังทำก็มีผลด้วยเช่นกันอย่างในรายที่ดื่มน้ำน้อย เข้าซาวน่าบ่อยๆ ปัจจัยเหล่านี้ก็มีผลต่อความเสื่อมสภาพของฟิลเลอร์ได้เช่นกัน ซึ่งถ้าให้พูดถึงค่าเฉลี่ยแบบกลางๆ ฟิลเลอร์น่าจะอยู่ได้ประมาณ8-12 เดือนก่อนที่จะค่อยๆสลายไปตามธรรมชาติ
Botox: ตามปกติแล้วโบท็อกซ์สามารถอยู่ได้ประมาณ 3-6 เดือนที่สวยชัดเต็มที่เพราะเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงการแสดงอารมณ์ในชีวิตประจำวันได้ การเคี้ยวอาหาร การหัวเราะหรือยิ้มทั้งหมดนี้ก็มีส่วนที่จะสร้างรอยใหม่ๆจากการใช้งานของกล้ามเนื้อได้ตลอดเวลา ซึ่งก็ไม่ต้องตกใจไปว่าทำไมเวลาของความสวยมันถึงสั้นจัง เพราะจริงๆแล้วหลังจากเวลาที่บอกไปข้างต้นก็ใช้ว่ารอย หรือขนาดของกล้ามเนื้อจะเด้งกลับมาเท่าเดิมแต่แรกก่อนทำ แต่เรียกว่าจะค่อยเริ่มกลับมาเห็นความชัดตามระยะเวลามากกว่า และแน่นอนว่าการดูแลตัวเองหลังเข้ารับบริการก็มีส่วนสำคัญต่อการเสื่อมหรือยืดอายุของโบท็อกซ์ได้เช่นกัน ซึ่งหลังจากเสื่อมสภาพแล้วสำหรับใครที่อยากฉีดเพิ่มเราแนะนำให้เว้นทิ้งระยะต่ออีกสัก 2-3 เดือนแล้วค่อยฉีดใหม่เพื่อป้องกันการเสพติดโบท็อกซ์และอาจะส่งผลให้ดื้อยาได้ในอนาคต
การดูแลหลังทำ
- งดนอนราบ 4 ชั่วโมงหลังฉีด
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด รวมถึงของหมักของดองอย่างน้อย 7 วันเพราะส่งผลต่อการขยายตัวของเส้นเลือดที่ส่งผลต่อเนื่องไปถึงการเสื่อมสภาพของสารที่ฉีดเข้าไป
- งดการโดยความร้อน ทั้งจากการทำทรีทเม้นท์ในกลุ่ม RF หรือการนวดที่ใช้ความร้อน ซาวน่า รวมไปถึงการเข้าใกล้ความร้อนนานๆ อย่างการอยู่หน้าเตาหมูกระทะ ปิ้งย่าง ชาบูทั้งหมดอย่างน้อย 7-14 วัน แต่ถ้าเลื่ยงได้หลังจากนั้นก็จะดี เพราะความร้อนส่งผลต่อการเสื่อมสภาพได้
- งดการนวดกดจุดอย่างน้อย 30 วัน เพราะการนวดคลึงบนใบหน้าเพราะมีผลต่อการกระจายตัวที่ไม่ถูกที่ถูกทาง
- เลี่ยงการออกกำลังกายหนักๆ
- สำหรับฟิลเลอร์แนะนำให้ดื่มน้ำมากๆ เพราะจะช่วยให้คงสภาพได้นานยิ่งขึ้นเนื่องจากฟิลเลอร์เป็นสารที่อุ้มน้ำได้ดี
- สำหรับโบท็อกซ์ที่ใช้ในการลดขนาดกราม หลังทำ 30นาที แนะนำให้เคี้ยวหมากฝรั่งเพื่อช่วยบริหารกล้ามเนื้อและช่วยให้ตัวยากระจายตัวได้ดียิ่งขึ้น
- และสุดท้ายแนะนำให้ทำตามคำแนะนำของคุณหมออย่างเคร่งครัดเพื่อลงความเสี่ยงและคงสภาพให้ได้นานที่สุด
ความเสี่ยง
Filler: ข้อแรกเลยหากเลือกฉีดฟิลเลอร์เทียมก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดการอักเสบติดเชื้อ อีกทั้งฟิลเลอร์เทียมส่วนใหญ่จะชอบมีซิลิโคนเป็นส่วนประกอบเพื่อให้ได้รูป แต่เมื่อฉีดลงไปแล้วซิลิโคนไม่สามารถย่อยสลายได้ซึ่งก็อาจจะตกค้างอยู่ในชั้นผิวส่งผลให้เกิดอาการบวมแดงอักเสบติดเชื้อ หรืออาจก่อให้เกิดปัญหาฟิลเลอร์ไหลลงตาเสี่ยงตาบอดได้เช่นกัน และยังมีอีกสารพัดปัญหาที่อัตรายไม่ใช่น้อยนอกจากนี้แพทย์ก็มีส่วนสำคัญด้วยเช่นกัน แนะนำให้เลือกแพทย์เฉพาะทางที่เชียวชาญในเรื่องนี้ เพราะการฉีดฟิลเลอร์ต้องอาศัยความชำนาญบวกกับความเข้าใจโครงสร้างใบหน้าและความสามารถในการะยะ ความลึกตื้นของการฉีดที่แม่นยำ เพราะหากฉีดไปผิดจุด หรือฉีดในปริมาณที่มากเกินไปก็อาจจะส่งผลให้เส้นเลือดฝอยในเนื้อเยื้อแตก ยาวไปจนถึงการอักเสบติดเชื้อและอีกสารพัดปัญหา
Botox: จริงๆแล้วข้อควรระวังก็ไม่ต่างจากฟิลเลอร์เท่าไหร่นัก นั้นก็คือควรระวังในเรื่องของโบท็อกซ์ปลอม ที่อาจะทำให้เกิดการอักเสบติดเชื้อได้ นอกจากนี้ก็ควรให้คุณหมอที่เชี่ยวชาญเป็นคนที่ช่วยดูแลให้เพราะหากฉีดในปริมาณที่มากไป ก็อาจะเกิดปัญหาหน้าเบี้ยว หน้าแข็ง ใบหน้าผิดรูปดูไม่เป็นธรรมชาติ
วิธีการสังเกต Filler และ Botox แท้
ในข้อนี้จริงๆแล้วจะมีจุดสังเกตแตกต่างกันไปตามยี่ห้อที่เลือกใช้ซึ่งในปัจจุบันนี้ให้เลือกหลากหลายมากในท้องตลาด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นในคลินิคที่ให้บริการต้องยอมให้เราสามารถตรวจสอบฟิลเลอร์และโบท็อกซ์ได้ โดยหลักๆแล้วสามารถเช็คได้ตามนี้
1.คุณหมอจะต้องแกะกล่องใหม่ให้ดู กล่องมีการซีลปิดผนึกแบบไม่เคยผ่านการใช้งานใดๆ และจะต้องผสมให้ดูต่อหน้าเท่านั้น
2.จะต้องมีเอกสารกำกับยาที่เป็นภาษาไทยเท่านั้น ทั้งบนกล่องและเอกสารแผ่นพับคำอธิบายคุณสมบัติยาในกล่องเพราะเป็นการนำเข้าแบบถูกต้องในกระบวนการที่ถูกต้องทำให้มั้่นใจได้ว่ายาที่นำมาใช้กับเราถูกเก็บรักษาแบบถูกสขลักษณะ เพราะหากเป็นยาแท้แต่ผ่านการหิ้วเข้ามาแบบไม่ถูกต้องก็ส่งผลต่อประสิทธิภาพของยาได้เช่นกัน ซึ่งก็อาจส่งผลเสียไม่แพ้ของปลอมเลย
3.โดยปกติแต่ละยี่ห้อจะมีเหมือนserial number หรือตัวเลขล็อตผลิต ที่จะต้องตรงกันทั้งที่ตัวขวดและกล่องด้านนอก ซึ่งตรงนี้ทางคลินิคและแพทย์จะต้องให้เราสามารถถ่ายรูปหรือนำกล่องกลับเพื่อเอาไปเช็คกับทางแบรนด์ที่เราเลือกใช้ว่าตัวยาที่ใช้อยู่ใช่ของจริงหรือไม่