SPF & PA แฝดพี่แฝดน้องคู่หูพิทักษ์ผิวจากแสงแดด
เชื่อว่าสาวๆบิวตี้รู้ดีกันอยู่แล้วว่ากันแดดเป็นผลิตภัณฑ์ความงามที่มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการดูแลผิวขั้นพื้นฐานที่ต้องทำทุกวันเป็นประจำห้ามขาด แต่ใช้กันแดดกันอยู่ทุกวัน รู้หรือไม่ว่าค่า SPF และ PA คืออะไร?
SPF และ PA คืออะไร?
SPF ย่อมาจาก Sun Protection Factor
PA ย่อมาจาก Protection Grade of UVA
ซึ่งหน้าที่หลักๆของทั้ง2 คือช่วยปกป้องผิวจากรังสี UV ทั้ง UVA และ UVB เพื่อช่วยไม่ให้ผิวเกิดการดูดซับรังสี รวมไปถึงป้องกันแสง UV ไม่ให้ผ่านเข้าไปถึงชั้นผิว หรือทำให้รังสี UV แตกกระจายออกไปเพื่อไม่ให้เข้าทำร้ายผิวโดยตรง พูดง่ายๆก็คือทั้ง 2 เป็นเสมือนเกราะป้องกันผิวที่ช่วยปกป้องผิวในทุกๆทางไม่ให้ถูกทำร้าย
รังสียูวีจากแสงแดด ถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือรังสี UVA และรังสี UVB
- ค่า PA ช่วยปกป้องผิวจาก รังสี UVA คือรังสีความยาวคลื่นยาว สามารถทะลุกระจกหรือหน้าต่างได้ ตัวการทำร้ายลึกถึงชั้นผิว ทำให้เกิดสารพัดปัญหาผิว ฝ้า กระ จุดด่างดำ การอักเสบหากโดนบ่อยๆอาจก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนัง
- ค่า SPF ช่วยปกป้องผิวจากรังสี UVB คือรังสีความยาวคลื่นกลาง-ยาว สามารถทะลุกระจกหรือหน้าต่างได้ ทำลายผิวชั้นบนทำให้รู้สึกแสบร้อน
ทำความรู้จักค่าของ SPF และ PA คำนวนอย่างไร?
SPF เป็นค่าการป้องกันรังสีUVB ที่จะมาเป็นตัวเลข ซึ่งเลขของ SPF ที่เราเลือกใช้จะบอกให้รู้ว่า เราจะอยู่กลางแสงแดดได้นานเแค่ไหนโดยที่ผิวเราจะไม่ไหม้หรือแสบร้อนซึ่งวิธีการคำนวณก็ไม่ยาก นำค่า SPF ที่เลือกใช้มาคูณกับระยะเวลาของผิวเราทนต่ออาการแสบร้อนได้ยามออกแดด
เช่นปกติ หากผิวของเราที่ไม่ทากันแดดผิวสามารถทนความร้อนได้ที่ 10 นาที วิธีคำนวณค่า SPF 15 ก็คือ15 x 10= 150
SPF15 ก็หมายความว่าจะช่วยปกป้องผิวไม่ให้รู้สึกแสบร้อนได้โดยประมาณ 150 นาทีนั้นเอง
แต่ใช่ว่าการเลือกค่า SPF สูงมากๆจะดีเสมอไปนะ เพราะจริงๆแล้วค่า SPF สูงๆ อาจมีผลเสียตรงที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองได้สำหรับผิวบอบบางแพ้ง่ายเราแนะนำว่าเลือกแบบพอดีๆถือว่าดีที่สุด
PA เป็นค่าการป้องกันรังสี UVA มาเป็นสัญลักษณ์ (+) ซึ่งเท่ากับจำนวนเท่าในการป้องกันผิว ซึ่งค่าของ PA ยังไม่หน่วนวัดเป็นตัวเลขที่ชัดเจนนักแต่สามารถแบ่งระดับการปกป้องผิวได้ตามนี้
ค่าPA สามารถแบ่งออกเป็น 4 ระดับด้วยกัน
PA+ ให้การป้องกันรังสี UVA ระดับเริ่มต้น
PA++ ให้ในการป้องกันรังสี UVA ระดับกลาง
PA+++ ให้การป้องกันรังสี UVA ระดับสูง
PA++++ ให้การป้องกันรังสี UVA ระดับสูงสุด
เลือกค่ามากไปก็ไม่ได้ น้อยไปก็ไม่ได้ ใช้เท่าไหร่ถึงพอ?
วิธีการเลือกค่าของกันแดดหลักๆแล้วขึ้นอยู่กับกิจกรรมที่เราจะไปทำในแต่ละวันซึ่งหากใช้ชีวิตประจำวันทั่วๆไปที่อยู่ในตึกหรือในบ้านตลอดไม่ค่อยได้ออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้งโดยเลือกค่า SPF ที่ประมาณ 30 ส่วนค่า PA ++ หรือ PA+++ น่าจะกำลังพอดีๆ
แต่หากใครต้องมีกิจกรรมกลางแจ้งหรือต้องออกแดดทั้งวัน แนะนำให้เลือกค่า SPF50 PA++++ น่าจะดีที่สุดและแนะนำว่าถ้าอยู่กลางแจ้งต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเวลานานเราแนะนำให้ทาทับๆทุกๆ30 นาที หรือทุกครั้งที่ขึ้นจากน้ำ
ปริมาณการใช้งาน
เลือกค่าการปกป้องได้ตรงตามไลฟสไตล์แล้วทีนี่มาถึงเรื่องของปริมาณกันบ้าง จากที่เราได้อ่านงานวิจัยหรือคำแนะนำของคุณหมอหลายๆคนสรุปได้ว่าเรื่องของปริมาณในการใช้งานมีความสำคัญไม่น้อยเลย เพราะหากทาน้อยไปก็จะทำให้ประสิทธิภาพการปกป้องผิวจากแสงแดดไม่เพียงพอทำให้ทำงานไม่เต็มที่ และหากใช้มากไปก็ไม่ใช่เรื่องดีเช่นกันเพราะอาจก่อให้เกิดการอุดตันและในรายที่ผิวบอบบางแพ้ง่ายอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองได้ด้วยเช่นกัน
และเพื่อเปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายขึ้นการเลือกใช้กันแดดในปริมาณ 1 เหรียญ 10 จะเป็นค่าโดยประมาณที่ถูกแนะนำว่าเป็นจำนวนที่พอเหมาะในการใช้ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด
ซึ่งไม่ต้องตกใจว่าจะมากไปไหมเพราะจริงๆแล้วกันแดดในยุคนี้ถูกพัฒนาสูตรและเนื้อสัมผัสมาให้เบาสบายผิวมากขึ้นโดยสาวๆสามารถเลือกเนื้อกันแดดให้เหมาะสมตามสภาพผิวและกิจกรรมที่ไปทำซึ่งยุคนี้แบรนด์บิวตี้จัดเต็มแบบไม่มีใครยอมใครดังนั้นเรื่องของความหนาเหนอะ ขาวจนลอยบอกเลยว่าไม่มีอีกต่อไป
ความถี่ในการใช้งาน
สุดท้ายแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องที่หลายคนมักเข้าใจผิดว่ากันแดดจำเป็นแค่ในวันที่ต้องออกไปข้างนอกเท่านั้น ในวันอยู่บ้านไม่จำเป็นต้องทาก็ได้ หรือบางคนเลือกไม่ทากันแดดไม่วันฝนตกเพราะคิดว่าแดดไม่ออกกันแดดก็ไม่จำเป็น
เราขอบอกเลยว่าไม่ได้เด็ดขาด จริงๆแล้วรังสียูวีนี่ร้ายกว่าที่เราคิดเยอะ เพราะนอกจากคลื่น UVA จะสามารถทะลุทะลวงผ่านหน้าต่างมาลึกถึงชั้นผิวไปทำลายระบบให้เกิดริ้วรอย ความเหี่ยวย่นฟ้ากระจุดด่างดำแล้ว คลื่นความร้อนจากรังสี UVB รวมถึงคลื่นความร้อนหน้าเตามีส่วนในการกระตุ้นให้ผลิตเม็ดสีเมลานินที่มาของจุดด่างดำอีกด้วย อีกทั้งแสงสีฟ้าก็ตัวดีนัก เพราะก็มีส่วนทำร้ายผิวเช่นกัน