ในยุคที่เทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์ถูกพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด มีวิธีการใหม่ๆที่เกี่ยวกับความสวยความงามเกิดขึ้นมากมาย โดย Botox ก็เป็นหนึ่งในวิธีการที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
ในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา เทคนิคการใช้ Botox ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก มีผู้คนจำนวนมากที่ใช้ Botox เพื่อลดริ้วรอยและเสริมความเต่งตึง เรียบเนียน และ สดใสของใบหน้า ไม่ว่าจะเป็นการลดริ้วรอยในบริเวณผิวหน้า เช่น ริ้วรอยเหี่ยวย่นระหว่าง คิ้ว หน้าผาก หรือริ้วรอยใต้ตา หรือการปรับรูปร่างของใบหน้า เช่น ยกกระชับกรามหน้า ยกกระชับปาก และยกกระชับคาง
เนื่องจาก Botox เป็นกระบวนการที่ง่าย ปลอดภัย อีกทั้งยังไม่ต้องใช้เวลาฟื้นตัวนาน ทำให้การใช้ Botox ในการปรับรูปหน้าได้รับการยอมรับจากผู้ประกอบวิชาชีพทางการแพทย์และผู้คนทั่วไปอย่างกว้างขวาง
Botox มีต้นกำเนิดมาจากแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Clostridium botulinum หรือ C. botulinum ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่พบได้ในสภาพแวดล้อมธรรมชาติ เช่น ในดิน ป่า หรือที่น้ำตก แบคทีเรียชนิดนี้สร้างสารพิษที่เรียกว่า Botulinum Toxin Type A ซึ่งเป็นสารพิษที่ก่อให้เกิดอาการ botulism
สารโบทูลินัมท็อกซิน สามารถแยกแยะตามความแตกต่างของการตอบสนองของแอนติเจนได้ 8 ชนิด (A, B, C 1 , C 2, D, E, F และ G) ซีโรไทป์ทั้งหมดนั้นรบกวนการส่งสัญญาณประสาทโดยการปิดกั้นการปล่อยอะซิติลโคลีน ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทหลักที่จุดเชื่อมต่อประสาทและกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อเป็นอัมพาต โดยอาการอ่อนแรงที่เกิดจากการฉีดโบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ มักคงอยู่ประมาณสามเดือน
สภาวะทางการแพทย์ที่มีข้อบ่งชี้ในการใช้สาร Botox
สารพิษจากโบทูลินัมไม่ได้มีประโยชน์แค่กับวงการความงาม แต่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการจัดการกับสภาวะทางการแพทย์ที่หลากหลาย เช่น
- ภาวะตาเหล่และโฟกัสผิดปกติ
- อาการกระตุกของใบหน้าครึ่งซีก
- ความผิดปกติของการเคลื่อนไหวเกร็งต่างๆ
- ภาวะปวดศีรษะ
- ภาวะน้ำลายไหลมากเกินไป
- อาการเรื้อรังบางอย่างที่ตอบสนองต่อการแพทย์เพียงบางส่วน
- การใช้งานด้านความงามรวมถึงการแก้ไขเส้น รอยพับ และรอยย่นทั่วใบหน้า คาง ลำคอ และหน้าอก
- การใช้งานด้านผิวหนัง เช่น ภาวะเหงื่อออกมาก
การฉีดโบทูลินั่มท็อกซินโดยทั่วไปจะทนได้ดีและมีผลข้างเคียงน้อย ความรู้และความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับกายวิภาคของกล้ามเนื้อเลียนแบบมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการใช้สารพิษโบทูลินัมในทางคลินิกได้อย่างถูกต้อง
ปัญหาด้านความงามที่สามารถรักษาด้วยการฉีดโบท็อกซ์ (BOTOX®)
สำหรับปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความงามที่สามารถรักษาได้ด้วยการฉีดโบท็อกซ์ตามส่วนต่างๆของใบหน้า และ ลำคอ มีดังต่อไปนี้
ใบหน้าส่วนบน
- รอยย่นระหว่างคิ้ว (Glabellar rhytides) เกิดจากการหดตัวของกล้ามเนื้อ corrugator supercilii และ orbicularis oculi ซึ่งเคลื่อนคิ้วไปตรงกลาง และกล้ามเนื้อ procerus และ depressor supercilii ซึ่งดึงคิ้วให้ต่ำลง
- รอยย่นหน้าผาก (Horizontal forehead rhytides or Forehead wrinkles) เป็นผลมาจากการหดตัวของกล้ามเนื้อ frontalis ทำให้เกิดรอยพับแนวนอนขึ้นมา ซึ่งจะเด่นชัดมากขึ้นเมื่อทำการเลิ่กคิ้วขึ้นด้านบน สามารถรักษาได้โดยการฉีดโบท็อกซ์หน้าผาก
- รอยตีนกา (Lateral canthal rhytides or crow’s feet) การหดตัวของเส้นใยกล้ามเนื้อ orbicularis oculi ด้านข้าง ทำให้เกิดเส้น หรือที่เรียกว่าตีนกา ซึ่งจะเห็นรอยดังกล่าวชัดขึ้นเมื่อยิ้ม
- คิ้วตก (Brow ptosis)
- ถุงใต้ตา (Hypertrophic orbicularis oculi) เกิดจากการหนาตัวขึ้นของกล้ามเนื้อ orbicularis oculi
ใบหน้าส่วนกลาง
- รอยย่นสันจมูก (ฺBunny lines)
- ร่องแก้มลึก (Prominent nasolabial folds)
ใบหน้าส่วนล่าง
- Perioral lip rhytides
- Mouth frown
- Melomental folds (marionette lines)
- Mental crease
- Peau d’orange chin
- Masseteric hypertrophy
- Gingival (gummy) smile
- Lip augmentation (lip flip)
คอ
- รอยเส้นที่คอแนวตั้ง (Platysmal bands) เกิดจากการแยกและยื่นออกมาของขอบด้านหน้าของ กล้ามเนื้อ Platysma โดยรอยดังกล่าวจะเด่นชัดเมื่อมีอายุมากขึ้น
- รอยย่นที่คอแนวนอน (Horizontal neck lines) เกิดจากการยึดติดกันของส่วนที่ห่อหุ้ม และ เชื่อมต่อระหว่างกล้ามเนื้อศรีษะและ ลำคอ
การทำงานและการออกฤทธิ์ของ Botox
โบทูลินัมท็อกซินทำงานอย่างไร
ซีโรไทป์ทั้งหมดของสารพิษ botox นั้นรบกวนการส่งสัญญาณประสาทโดยการปิดกั้นการปล่อยอะซิติลโคลีน ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทหลักที่จุดเชื่อมต่อประสาทและกล้ามเนื้อ การให้โบทูลินัมท็อกซินเข้ากล้ามเนื้อจะออกฤทธิ์ที่จุดเชื่อมต่อประสาทและกล้ามเนื้อเพื่อทำให้กล้ามเนื้อเป็นอัมพาตโดยการยับยั้งการปล่อยอะซิติลโคลีนจากเซลล์ประสาทสั่งการก่อนไซแนปติก
สารพิษโบทูลินัมออกฤทธิ์ที่ตำแหน่งต่างๆ สี่แห่งในร่างกาย
- จุดเชื่อมต่อประสาทและกล้ามเนื้อ
- ปมประสาทอัตโนมัติ
- ปลายประสาทหลังปมประสาทพาราซิมพาเทติก และ
- ปลายประสาทหลังปมประสาทซิมพาเทติกที่ปล่อยสารสื่อประสาทอะซิติลโคลีน
สารพิษโบทูลินั่มกระตุ้นให้เกิดความอ่อนแอ หรือ การอัมพาตของกล้ามเนื้อโดยการยับยั้งการส่งผ่านของเซลล์ประสาทสั่งการอัลฟ่าที่จุดเชื่อมต่อประสาทและกล้ามเนื้อ สิ่งนี้นำไปสู่การใช้กับสภาวะที่มีการกระตุ้นของกล้ามเนื้อมากเกินไป เช่น Dystonia
อีกทั้งยังมีการยับยั้งการส่งสัญญาณที่เซลล์ประสาทแกมมาในแกนหมุนของกล้ามเนื้อ ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงของภาวะรีเฟล็กซ์ที่มีการทำงานมากเกินไป
สารพิษยังยับยั้งการปลดปล่อยอะซิติลโคลีนในเซลล์ประสาทซิมพาเทติกหลังพาราซิมพาเธติกและโคลิเนอร์จิกหลังปมประสาท สิ่งนี้ทำให้เกิดความสนใจในการใช้เป็นยารักษากล้ามเนื้อเรียบที่มีการทำงานมากเกินไป เช่น ในโรค Achalasia และ การทำงานผิดปกติของต่อมต่างๆ เช่น ภาวะ Hyperhidrosis หรือ ภาวะเหงื่อออกมาก
สารพิษต้องใช้เวลา 24-72 ชั่วโมงในการออกฤทธิ์ ในบางครั้ง บุคคลบางคนอาจต้องใช้เวลามากถึงห้าวันเพื่อให้เห็นผลเต็มที่ โดยสูงสุดที่ประมาณ 10 วัน ผลของโบทูลินั่มท็อกซินจะอยู่ได้เกือบ 8-12 สัปดาห์
ผลข้างเคียงของ Botox
การฉีดโบทูลินั่มท็อกซินโดยทั่วไปนั้นจะทนได้ดีและมีผลข้างเคียงน้อย ปฏิกิริยาที่แปลกประหลาดโดยทั่วไปนั้นพบได้น้อย ไม่รุนแรง และ เกิดขึ้นชั่วคราว อาจมีความเจ็บปวดจากการฉีดยาเล็กน้อย และ อาการบวมน้ำเฉพาะที่, แดง, มึนงงชั่วคราว, ปวดศีรษะ, รู้สึกไม่สบายหรือคลื่นไส้เล็กน้อย ผลของมันจะลดลงตามระยะทางที่เพิ่มขึ้นจากบริเวณที่ฉีด แต่สามารถแพร่กระจายไปยังกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อใกล้เคียงได้ ผลข้างเคียงที่น่ากลัวที่สุดคือกล้ามเนื้ออ่อนแรง/อัมพาตชั่วคราวที่ไม่ต้องการซึ่งเกิดจากการกระทำของสารพิษ โดยปกติจะหายเองในหลายเดือน และในผู้ป่วยบางรายใน 2-3 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับตำแหน่ง ความแรงของการฉีด และกล้ามเนื้อที่อ่อนแรงมากเกินไป
ผู้ป่วยประมาณ 1-3% อาจพบเปลือกตาบนหรือหนังตาตกชั่วคราว ซึ่งเป็นผลมาจากการย้ายของสารพิษโบทูลินัมไปยังกล้ามเนื้อ levator palpebrae superioris ผู้ป่วยมักได้รับคำสั่งให้อยู่ในท่าตั้งตรงเป็นเวลาสามถึงสี่ชั่วโมงหลังการฉีด และหลีกเลี่ยงการจับต้องด้วยมือในบริเวณนั้น การหดตัวของกล้ามเนื้อระหว่างการรักษาอาจเพิ่มการดูดซึมสารพิษและลดการแพร่กระจาย
ข้อห้ามในการฉีดโบท็อกซ์
ภาวะที่ห้ามฉีดโบท็อกซ์ได้แก่
- ผู้ที่เป็นโรค motor neuron disease
- myasthenia gravis
- Eaton-Lambert syndrome
- ภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรง
- ผู้ที่มีสภาวะผิดปกติของจิต
- ผู้ที่มีประวัติการตอบสนองต่อ toxin หรือ albumin
- คนท้อง และ ผู้ที่ให้นมบุตร
- ผู้ที่มีการติดเชื้อ ณ ตำแหน่งการฉีด
อ้างอิง
Nigam, P. K., & Nigam, A. (2010). Botulinum toxin. Indian journal of dermatology, 55(1), 8–14.